ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2530
ป.อ. มาตรา 33, 78, 340, 340 ตรี
ป.วิ.อ. มาตรา 212
ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์สวนทางกับจำเลย แล้วผู้เสียหายถูกพวกของจำเลย 2 คนใช้อาวุธปืนจี้บังคับเอาทรัพย์ ขณะที่มีการค้นตัวผู้เสียหายจำเลยขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมาจอดห่างผู้เสียหายประมาณ 1 วา แต่มิได้ลงจากรถ เมื่อพวกของจำเลยได้ทรัพย์จากผู้เสียหายแล้ว จำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไปและพวกของจำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซ้อนท้ายตามไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดแต่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับพวก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายซึ่งออกติดตามพวกของจำเลยไป ไม่สามารถติดตามได้ทัน ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี แล้ว
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ระวางโทษจำเลยอีกกึ่งหนึ่งนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 ตรี แล้ว โดยระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 กึ่งหนึ่ง
รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยขับมายังที่เกิดเหตุและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้จะเป็นความผิดตามมาตรา 340 ตรี แต่การจะริบได้หรือไม่นั้น จะต้องเป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาตรา 33(1)เมื่อของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดจึงริบไม่ได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว พยานอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ชอบที่ศาลจะลดโทษให้.
___________________________
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะไล่ติดตาม และใช้อาวุธปืนในการปล้น และจำเลยกับพวกได้หลบหนีไปพร้อมกับรถจักรยานยนต์ของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 83,33 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 ลงโทษจำคุก 20 ปี ริบของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 จำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 8 ปี รถจักรยานยนต์ของกลางไม่ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์สวนทางกับจำเลยซึ่งขับรถจักรยานยนต์เช่นกัน แล้วผู้เสียหายไปได้อีกประมาณ 10 เมตร ก็ถูกพวกของจำเลยอีก 2 คนใช้อาวุธปืนจี้บังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหายและขณะที่มีการค้นตัวผู้เสียหายอยู่ จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมาจอดห่างผู้เสียหายประมาณ 1 วา จำเลยมิได้ลงจากรถจักรยานยนต์เมื่อพวกของจำเลยได้ทรัพย์จากผู้เสียหายแล้ว จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ของจำเลยออกไป และพวกจำเลยอีก 2 คนก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซ้อนท้ายตามไป พฤติการณ์ดังกล่าวไม่พอฟังว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของตนเพื่อกระทำความผิด จำเลยเพียงแต่ใช้รถจักรยานยนต์ของตนเป็นยานพาหนะขับมายังที่เกิดเหตุ และขับออกไปจากที่เกิดเหตุ แต่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของตนออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับพวกของจำเลยอีกสองคนซึ่งพาเอาทรัพย์ที่ปล้นจากผู้เสียหายไปได้ และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายซึ่งได้ออกติดตามจำเลยกับพวกไป ไม่สามารถติดตามได้ทัน จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุเพื่อให้พ้นจากการจับกุม อันถือได้ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ด้วยที่โจทก์ขอมาท้ายฎีกาว่าขอให้ระวางโทษจำเลยอีกกึ่งหนึ่งนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 ตรี โดยระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 กึ่งหนึ่งนั่นเอง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางนั้นเห็นว่าเมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด แต่เป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยขับมายังที่เกิดเหตุ และขับออกไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อการปล้นทรัพย์สำเร็จแล้วเท่านั้น ซึ่งแม้จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี ดังได้วินิจฉัยมาข้างต้นก็ตาม แต่การที่จะริบได้นั้นจะต้องเป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะริบได้ตามบทมาตราดังกล่าว จึงจะสั่งริบหาได้ไม่ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าไม่สมควรลดโทษให้จำเลย เนื่องจากคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณานั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุคือผู้เสียหายเพียงคนเดียวเท่านั้น พยานโจทก์ปากอื่นเป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีถือได้ว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่รับสารภาพนั้นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรีด้วย ลงโทษจำคุก 18 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.
(ประวิทย์ ขัมภรัตน์-อภินย์ ปุษปาคม-ชวลิต นราลัย)
แหล่งที่มา
กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
แผนก
หมายเลขคดีแดงศาลชั้นต้น
หมายเหตุ
หากมีข้อสงสัยประการใดติดต่อ ที่นี้เลย Tel/Line id : 089-2142456 (ทนายสอง ประธานชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทนายความ)
Line id : lawyer_2 ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทนายความ)
ท่านสามารถเข้าเยี่ยมชมศึกษาข้อกฎหมาย คำพิพากษา ได้ที่ www.ปรึกษาคดีฟรี.com